ผู้สืบทอดตำหรับ มนตรามหาเมตตา หลวงปู่เณร คัมภีโร
พระครูปลัดเอกนรินทร์ คัมภีโร หรือที่ชาวบ้านร้านตลาดรู้จักกันในนาม หลวงปู่เณร ฤาษีตาไฟ ท่านถือกำเนิดขึ้นในตระกูล อนันตภักดิ์ ณ บ้านเลขที่ 159 หมู่บ้านโนนสวรรค์ ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตรของโยมพ่อสุนทร โยมแม่ฮวน อนันตภักดิ์ มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันทั้งหมด 4 คน พระครูปลัดเอกนรินทร์ หรือ หลวงปู่เณรนั้นเป็นบุตรคนสุดท้อง
เมื่อครั้งเยาว์วัยเป็นเด็กที่ร่าเริง พูดจาฉลาดฉะฉาน เป็นที่รักของคนในครอบครัว และบุคคลรอบข้าง เมื่ออายุได้ 6 ขวบ ก็เข้าโรงเรียนตามปกติ มีวิถีชีวิตเสมือนเด็กทั่วไป พออายุ 7 ขวบได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับตระกูล อนันตภักดิ์ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้วิถีชีวิตของเด็กชายเอกนรินทร์ ผิดแผกแตกต่างไปจากเด็กทั่วไป กล่าวคือ เด็กชายเอกนรินทร์ล้มป่วยลงโดยไม่ทราบสาเหตุ โยมพ่อโยมแม่พยายามหาทางรักษาทั้งการแพทย์สมัยใหม่ แพทย์แผนโบราณ ตลอดจนการรักษาในทางไสยศาสตร์ อาการป่วยก็ไม่ดีขึ้น จนมีพระอาจารย์รูปหนึ่งได้ผ่านมาพบและได้บอกว่า เด็กคนนี้มีญาณของพ่อปู่ฤาษีตาไฟคุมอยู่ ให้แต่งคายครู(ขันธ์ห้า) เพื่อรับญาณของพ่อปู่ฤาษีตาไฟ ด้วยเหตุที่หมดหนทางที่จะรักษาอาการป่วยและความรักลูก อุปมาอุปไมยเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำมีเพียงกิ่งไม้ลอยมาก็ต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้ ด้วยความรักและความห่างใยของพ่อแม่จึงได้ปฏิบัติตามคำของพระอาจารย์ที่แนะนำไว้ เป็นที่น่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อตั้งคายครูบอกกล่าวรับญาณพ่อปู่ฤาษีตาไฟเสร็จ เด็กชายเอกนรินทร์มีอาการดีขึ้นสามารถออกวิ่งเล่นซุกซนได้ตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่ที่แปลกแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นตรงที่ว่าเด็กน้อยเอกนรินทร์ จะมีญาณสัมผัสรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คือชอบพูดชอบบอกญาติพี่น้องรอบข้างอยู่ตลอดว่าจะเกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้น และเหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นจริงตามคำของเด็กน้อยเอกนรินทร์ นอกจากนั้นเอกนรินทร์ยังชอบศึกษาในเรื่องของพระธรรม การปฏิบัติกรรมฐานและวิทยาคมต่างๆ ถ้ามีเวลาว่างมักจะไปอยู่คลุกคลีกลับพระอาจารย์ตามวัดใกล้บ้าน ซึ่งต่างจากเด็กทั่วไปที่มักจะเล่นซุกซนไปตามประสาเด็ก
ด้วยความชอบและสนใจในด้าน ไสยเวทวิชาคาถาอาคมต่างๆ พออายุได้ 9 ปีช่วงนั้นเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พอดี เด็กเอกนรินทร์ได้พบกับหลวงพ่อชิด ธมฺมปญฺโญ ที่ธุดงค์ผ่านมาปักกลดปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่าใกล้ๆบ้าน เด็กเอกนรินทร์จึงขอหลวงพ่อชิด ฝึกสมาธิกรรมฐานด้วย ครั้นพอทราบว่าหลวงพ่อชิดจะออกเดินธุดงค์ ไปกราบหลวงพ่อยิด ณ วัดหนองจอก อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงขอติดตามไปด้วย ระหว่างทางหลวงพ่อชิดจะสอนให้ฝึกนั่งสมาธิปฏิบัติกรรมฐานไปด้วย
ถึงวัดหลวงพ่อยิด ได้อยู่คอยรับใช้ลูกศิษย์หลวงพ่อยิด มีโอกาสได้เห็นการทำและกรรมวิธีการเสกปลัดขิก ในตำรับหลวงพ่อยิด ได้แอบศึกษาจดจำเคล็ดวิชาและกรรมวิธีต่างไว้จนขึ้นใจ พักอยู่ที่วัดหลวงพ่อยิดได้ 3 อาทิตย์ จึงกราบลาหลวงพ่อชิดเพื่อขอแยกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
มาที่วัดสุทธาวาส (วัดใหม่ตาสุด) เข้ากราบถวายตัวรับใช้อยู่กับหลวงพ่อประมาณ เจ้าตำรับวิชาเหยียบน้ำมันมนต์รักษาโรค พยายามขอเรียนวิชากับหลวงพ่อ แต่ท่านเห็นว่ายังเด็กอยู่จึงไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ จึงทำได้แค่ลักจำวิชาของหลวงพ่อเวลาท่านประกอบพิธีรักษาโรคให้แก่ญาติโยมเท่านั้น อยู่คอยรับใช้หลวงพ่อประมาณได้ 2 เดือนก็กราบลาหลวงพ่อ
เดินทางไปกราบหลวงปู่พิมพา แห่งวัดหนองตางู จังหวัดนครสวรรค์ มีโอกาสได้เรียนวิชาเสกนกคุ้ม กับหลวงปู่ ใช้เวลา 1 เดือนก็สามารถรับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่จนสำเร็จ จึงกราบลาหลวงปู่
ไปอยู่กับหลวงปู่แพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี ถวายตัวคอยอยู่รับใช้หลวงปู่ ยามว่างก็ช่วยลูกศิษย์ของหลวงปู่ทำพระสมเด็จสายรุ้ง สูตรเฉพาะของหลวงปู่แพ ต่อมาขอกราบฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนวิชาจากหลวงปู่แพ หลวงปู่ยังไม่รับปากถ่ายทอดวิชาให้ ท่านให้ไปฝึกสมาธิให้ได้ก่อน จึงเริ่มฝึกสมาธิปฏิบัติกรรมฐานอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน แต่การฝึกสมาธิยังไม่ก้าวหน้าไปมากนัก จึงได้ถามไถ่คนที่มาที่วัดว่ามีพระอาจารย์ท่านใดสอนฝึกสมาธิบ้าง จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงค์บุรี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับ วิปัสนากรรมฐานโดยตรง จึงได้กราบขออนุญาติหลวงปู่แพ เดินทางไปขอฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐานจากหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อยู่ได้ประมาณ 1 เดือน การฝึกสมาธิยังคงไม่คืบหน้าไปได้เท่าที่ควร
จึงเดินทางไปขอกราบเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัย ท่านเป็นพระที่มีความชำนาญในด้านสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้เมตตาถ่ายทอดวิชามะโนมะยิทธิ ให้ เป็นวิชาที่ท่านฝึกสอนให้ลูกศิษย์ได้รู้เห็น นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน ด้วยตนเอง เป็นการฝึกจิตให้เกิดสมาธิ กำหนดจิตให้รู้ให้เห็นได้ตามกำลังสมาธิวิปัสสนาแห่งตน ฝึกวิชาอยู่กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นเวลา 3 เดือน จนสำเร็จ มีจิตคิดที่จะบวชอยู่กับท่าน แต่ด้วยคงเป็นเพราะว่าไม่มีวาสนา บุญบารมีไม่ถึง ท่านมรณภาพไปเสียก่อน
หลังจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำมรณภาพลงได้ 1 ปี จึงเดินทางมาจังหวัดนครพนม เข้ากราบขอเป็นลูกศิษย์ และขอบรรพชา(บวชเณร) กับพระเดชพระคุณ พระสุนทรธรรมกร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปญฺโญ) วัดพระธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม อยู่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กับหลวงปู่คำพันธ์ ได้ 1 เดือน เณรเอกนรินทร์ได้กราบลาหลวงปู่ออกเดินธุดงค์องค์เดียว มุ่งหน้าสู่ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ในระหว่างที่เดินธุดงค์สามเณรน้อยมีโอกาสได้ฝึกวิปัสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด มุ่งมั่น ใช้เวลาในการเดินธุดงค์ 2 เดือนเต็มจึงถึงจุดหมายปลายทางจังหวัดจันทบุรี และได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการ หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม พระเกจิเมืองจันทบุรี แล้วเดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดเกาะแก้วอัมพวัน ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ด้วยความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมและต้องการที่จะศึกษาวิทยาคมอยู่เป็นนิจ พอออกพรรษาเณรเอกนรินทร์จึงออกธุดงค์อีกครั้ง เพื่อเสาะแสวงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านที่สนใจ โดยมุ่งหน้าสู่ประเทศพม่าเพื่อแสวงหาศึกษาสรรพวิชาต่างๆ โดยธุดงค์ผ่านไปทางด้านเจดีย์สามองค์ มีโอกาสได้พบกับหลวงพ่อเชดอร์ ท่านเป็นพระอาจารย์พม่าผู้เชี่ยวชาญไสยเวทย์ ในด้านถอดถอนคุณไสย แก้อาถรรพ์ ต่างๆ จึงกราบฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาคาถาอาคมสายพม่า อยู่ 2 เดือน จึงจาริกธุดงค์กลับมาที่วัดเกาะแก้วอัมพวัน จังหวัดนครพนม ระหว่างที่อยู่ที่วัดเกาะแก้วอัมพวันนั้นเณรเอกนรินทร์ ได้มั่นศึกษาทบทวนวิชาทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จึงได้พบว่าการศึกษาวิชาต่างๆที่ผ่านมานั้นยังไม่สำเร็จสมบูรณ์แบบเท่าที่ควร
ออกจาริกต่อโดยมุ่งหน้าสู่ นครวัด ประเทศเขมร เพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ ได้พบกับอาจารย์หม่อง เป็นอาจารย์ฆราวาสที่มีผู้คนเคารพนับถือมากในนครวัด ท่านมีความเก่งกาจเชี่ยวชาญในแขนงวิชาเกี่ยวกับ คาถามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน และแก้อาถรรพ์ถอดถอนคุณไสยต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นใสใจบวกกับความพิเศษที่ติดตัวมา ทำให้เณรเอกนรินทร์ศึกษาวิชากับอาจารย์หม่องได้ประมาณ 3 เดือน ก็สำเร็จวิชาแขนงต่างๆของอาจารย์ จึงลาอาจารย์กลับสู่ประเทศไทย มุ่งหน้าธุดงค์สู่จังหวัดอุบลราชธานี กราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ กับ หลวงปู่พรหมมา เขมาจาโร วัดสวนหินผานางคอย ตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองเชียงใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับการถ่ายทอดวิชาดวงธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ และดวงธรรมพ่อปู่ฤาษี จากหลวงปู่พรหมมา จนสำเร็จ
ขณะอยู่ที่วัดสวนหินผานางคอย ได้รู้จักกับพระอาจารย์เขียน ท่านเห็นว่าหลวงปู่เณรศึกษาวิชากับหลวงปู่สำเร็จแล้วจึงเอยชวนออกธุดงค์ไปยังถ้ำกี่แห่งภูเขาควาย ประเทศลาวเพื่อไปพบพระอาจารย์คำ “จั๋วน้อยไปหาพระอาจารย์คำที่ถ้ำกี่ดีกว่าเพิ่นเก่ง” ถ้ำกี่แห่งภูเขาควาย ประเทศลาว ถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลาวรู้จักกันดี เป็นเทือกเขาใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำโขงมีคูหาถ้ำน้อยใหญ่สลับซับซ้อน ถ้ำกี่เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้ที่ต้องการบำเพ็ญสมาธิกรรมฐานฝึกจิต เป็นจุดศูนย์รวมของภาควิชาไสยเวทย์ที่เต็มไปด้วยความเร้นรับ ผู้ที่สำเร็จวิชาจากเทือกเขาภูเขาควายจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในด้านไสยเวทวิทยาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เมื่อรับปากตกลงกับพระอาจารย์เขียนแล้วหลวงปู่เณร ได้กราบลาหลวงปู่พรหมมา เพื่อออกธุดงค์ เดินทางมาถึงถ้ำกี่ทราบว่าพระอาจารย์คำ ธรรมวโร ท่านกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ พระท่านออกมาพบจึงเอยถามว่า “เรารอพวกท่านมานานแล้วเพิ่งมาถึงหรือ แล้วท่านมาธุระอะไรกัน” พระอาจารย์เขียนจึงตอบว่า “โดยขน้อยเพิ่งมาฮอด จะขอฝากตัวเป็นศิษย์กับจั๋วน้อย 1 องค์” พระอาจารย์คำ หันมาถามหลวงปู่เณรว่า “แล้วกลัวผีมั้ย” “ไม่กลัวครับ” หลวงปู่เณรตอบด้วยความมั่นใจ พระอาจารย์คำเลยบอกว่า “แน่ใจแล้วหรือที่จะมาอยู่กับกู ถ้ามึงจะมาอยู่กับกูจริงๆ ขอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน จะอยู่ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับมึง” พอตกดึกของคืนนั้นหลวงปู่เณรต้องเผชิญกับสิ่งที่น่าสะพรึ่งกลัวที่สุดตั้งแต่เกิดมา มีผีเปรตเฝ้าถ้ำสองตนมาปรากฏกายให้ได้เห็น แต่หลวงปู่เณรหาได้เกิดความกลัวแม้แต่น้อย นั่งรวบรวมสมาธิใช้วิชาดวงธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่พรหมมา แผ่เมตตาจิตให้แก่ผีเปรตพวกนั้น แล้วผีเปรตทั้งสองตนก็ได้อันตรธานไปในที่สุดโดยมิได้ทำร้ายหรือเข้าใกล้หลวงปู่เณรเลยแม้แต่น้อย และไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็นอีกเลย พอรุ่งเช้าพระอาจารย์คำ เดินมาหาแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างเมื่อคืนนี้จั๋วน้อย” หลวงปู่เณรจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เผชิญมาให้ฟัง พระอาจารย์คำเอยขึ้นว่า “อย่างนี้สิถึงจะเป็นลูกศิษย์ของกูได้” จากนั้นพระอาจารย์คำก็เริ่มถ่ายทอดสรรพวิชาดวงธรรมต่างๆตามสายวิชาของชาวลาว ซึ่งเป็นวิชาสายของ สมเด็จลุน แห่ง วัดบ้านเวินไซ แขวงจำปาสัก ประเทศลาว ซึ่งท่านเป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยมาก มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ท่านคิดค้นตำราเกี่ยวกับวิชาคาถาอาคม ตำรับยาสมุนไพรไว้เป็นจำนวนมาก
ด้วยความพากเพียรบวกกับพรสวรรค์ที่ติดตัวมา หลวงปู่เณรใช้เวลาเพียง 3 เดือน สามารถสำเร็จวิทยาคมต่างๆที่พระอาจารย์คำ ท่านเมตตาถ่ายทอดให้ จากนั้นได้ธุดงค์มาอยู่ที่ วัดป่านาฮุม ตำบลนาเรียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม จากนั้นหลวงปู่เณรไม่คิดที่จะออกเดินธุดงค์อีกต่อไป เพราะการที่ท่านได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมและศึกษาสรรพวิชาต่างๆที่ผ่านมา ทำให้ท่านได้รู้ว่าที่จริงแล้วการเดินธุดงค์มิได้ทำให้สำเร็จอรหันต์ แต่ทำให้เรารู้จักความอดทนต่อความยากลำบาก รู้จักขันติ และการเอาตัวรอด กระทั่งอายุ 18 ปี โยมพ่อโยมแม่มาเจออยู่ที่จังหวัดนครพนม ท่านก็ขอให้กลับบ้านเกิดของตัวเองเพื่อพัฒนาให้เกิดความเจริญในพระพุทธศาสนา ปลูกจิตสำนึกด้านศีลธรรม จริยธรรม ในถิ่นบ้านเกิดเมืองนอน หลวงปู่เณรจึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดพระธาตุอุปมุง ตำบลโพธิ์ศรีสว่าง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด พออายุ 20 ปี หลวงปู่เณรได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมี พระครูจันทรสุวรรณคุณ (หลวงปู่คำปั่น) วัดป่าโนนสวรรค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “คัมภีโร” หลวงปู่เณรอยู่พัฒนาสร้างเสริมสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และญาติโยมไว้มากมาย
ต่อมาโยมพ่อโยมแม่ได้ถวายที่ให้ 6 ไร่ 3 งาน จึงคิดสร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เป็นที่พึ่งและที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพศรัทธายึดมั่นในหลักแห่งคุณความดีต่อไป อีกในหนึ่งเพื่อเป็นการแทนคุณบิดรมารดา คุณครูบาอาจารย์ และคุณพระพุทธศาสนา ใช้ชื่อว่า “วัดเกษตรทุ่งเศรษฐี” ตั้งอยู่ที่ หมู่ 11 บ้านเกษตร ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด วัดเกษตรทุ่งเศรษฐี เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ.2549 สร้างด้วยแรงศรัทธาของคณะลูกศิษย์ลูกหาที่มีต่อหลวงปู่เณรอย่างแท้จริง
ศรัทธาธรรมที่หลั่งไหลเข้ามาดุจสายธารเป็นสิ่งที่เป็นกำลังใจให้ “หลวงปู่เณร คัมภีโร” ในการมุ่งมั่นที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนา และช่วยเหลือ สั่งสอนญาติโยม ต่อไปได้เป็นอย่างดี แรงศรัทธาที่หลวงปู่เณรได้รับนั้นมิไช่ได้มาโดยการซื้อหาเหมือนผักปลาในตลาด แต่ได้มาด้วยความเพียรพยายามที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา และความมานะอดทนในการเสาะหาศึกษาวิชาความรู้ทั้งธรรมะตลอดจนวิทยาคมต่างๆ จากครูบาอาจารย์ทั่วทุกสารทิศ รวมถึงศาสตร์ที่ได้มาแบบครูพักรักจำตั้งแต่ยังเยาว์วัย ล้วนเป็นสิ่งที่หลวงปู่เณรได้ศึกษาสะสมมาเพื่อใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน เสมอมา
หน้าที่เข้าชม | 313,521 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 161,141 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 ก.ค. 2562 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |